การคุมกำเนิด
การคุมกำเนิด มีหลายวิธีให้เลือก โดยวิธีที่เลือกจะขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวม วิถีชีวิต และความสัมพันธ์ การคุมกำเนิดมีให้เลือกตั้งแต่การใช้อุปกรณ์ขวางกั้นทางกายภาพ การใช้ฮอร์โมน การคุมกำเนิดฉุกเฉิน ถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชาย ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง และวิธีธรรมชาติ
หมวกครอบปากมดลูก
มีลักษณะเป็นยางบางๆ และนุ่ม รูปปากครอบ ซึ่งจะพอดีกับช่องคลอด ครอบคลุมปากมดลูก และป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปในมดลูก
โดยปากครอบมดลูกต้องอยู่ในบริเวณที่ถูกต้องอย่างน้อย 6 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีประสิทธิภาพร้อยละ 94 หากใช้ครอบอย่างถูกวิธีและถูกตำแหน่ง
ปากครอบมดลูกนี้ต้องใส่ให้เข้าที่ โดยแพทย์หรือพยาบาลที่มีความชำนาญ วิธีนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้บ้าง แต่ไม่ควรใช้วิธีนี้ หากต้องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ห่วงอนามัยคุมกำเนิด
ห่วงอนามัยคุมกำเนิด เป็นอุปกรณ์พลาสติก ที่ผสมทองแดงหรือฮอร์โมน ซึ่งแพทย์จะสอดเข้าไปในมดลูก และจะอยู่ในมดลูกได้ประมาณ 5 ถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดที่ใช้
และสามารถถอดออกก่อนเวลาได้อย่างง่ายดาย หากต้องการตั้งครรภ์ หรือมีปัญหาแทรกซ้อนจากการใส่ห่วงอนามัย
ห่วงอนามัยคุมกำเนิดมี 2 แบบ
- ห่วงอนามัยคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมน ยังสามารถปล่อยฮอร์โมนโปรเจสโตเจนในปริมาณเล็กน้อยอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นและหนาตัวขึ้น ทำให้ลดโอกาสของการที่อสุจิจะเล็ดรอดเข้าไปได้อีกด้วย แต่ก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยต่อฮอร์โมนที่ควบคุมรอบเดือน
- ห่วงอนามัยคุมกำเนิดชนิดที่ไม่มีฮอร์โมน มักจะถูกถอดออกก่อนเวลาเนื่องจากอาการข้างเคียงจากฮอร์โมน เช่น ปวดศีรษะ คัดตึงเต้านม สิวและความอยากอาหารที่มากขึ้น อย่างไรก็ตามห่วงชนิดนี้ทำให้ประจำเดือนมาน้อยลง ต่างจากห่วงแบบผสมทองแดงซึ่งมักจะทำให้มีประจำเดือนมามากขึ้น แต่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่มาจากฮอร์โมน
ห่วงอนามัยคุมกำเนิดทั้งสองแบบ มีประสิทธิภาพประมาณ 99 เปอร์เซนต์ กลไกในการป้องกันการตั้งครรภ์คือ ไปเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและพื้นผิวในมดลูก
โดยห่วงอนามัยคุมกำเนิดจะฆ่าเชื้ออสุจิได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากมีอสุจิที่เหลือรอด และไปผสมกับไข่ได้สำเร็จ ไข่ที่ผสมแล้วก็จะไม่สามารถฝังตัวที่ผนังมดลูกได้ จึงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ฮอร์โมนคุมกำเนิด
ฮอร์โมนคุมกำเนิดสำหรับผู้หญิง มีให้ใช้ในรูปแบบของยาเม็ด ( ยาเม็ดคุมกำเนิด ) หรือแบบวงแหวนคุมกำเนิด มีประสิทธิภาพดีร้อยละ 99.7 หากใช้อย่างถูกต้อง แต่หากมีการลืมกินยาหรือลืมใส่วงแหวน อาจลดประสิทธิภาพลงเหลือเพียงร้อยละ 92 เท่านั้น
ฮอร์โมนคุมกำเนิดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนผสม
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนผสม ทำจากฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนสังเคราะห์ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนผสมจะป้องกันการตกไข่ ทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้นขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปในมดลูกได้ และเปลี่ยนแปลงพื้นผิวภายในมดลูกทำให้อยู่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนผสมมีหลายชนิด ซึ่งจะแตกต่างกันที่ปริมาณฮอร์โมน และสัดส่วนของฮอร์โมนที่ผสม การคุมกำเนิดแบบนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่นผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี ที่สูบบุหรี่ เป็นต้น
วงแหวนคุมกำเนิด
วงแหวนคุมกำเนิดใส่ในช่องคลอด จะมีฮอร์โมนผสมอยู่คล้ายกับยาเม็ดคุมกำเนิด และมีกลไกการทำงานคล้ายคลึงกัน โดยวงแหวนจะมีขนาดที่สามารถใส่ได้ในทุกคน ใช้โดยการสอดใส่เข้าไปในช่องคลอด ให้คาอยู่นานประมาณ 3 สัปดาห์
ระหว่างช่วงเวลาที่ใส่อยู่นี้ วงแหวนจะปล่อยฮอร์โมนออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งฮอร์โมนจะผ่านเข้าไปในช่องคลอดและกระแสเลือด หลังจากครบ 3 สัปดาห์ จึงเอาวงแหวนออก เว้นระยะ 1 สัปดาห์แล้วจึงใส่วงแหวนอันใหม่เข้าไปอีก
วงแหวนคุมกำเนิดจะมีปริมาณฮอร์โมนที่ต่ำ และไม่ต้องกังวลกลัวลืมกินยาทุกวันเหมือนยาเม็ดคุมกำเนิด สามารถสอดใส่ได้ง่ายไม่ต่างจากผ้าอนามัยแบบสอด และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ร้อยละ 99.7 หากใช้อย่างถูกวิธี
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวงแหวนคุมกำเนิด
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสังเคราะห์เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีผลให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้นขึ้น ป้องกันไม่ให้อสิจุเข้าไปในมดลูกได้
การกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว ต้องกินทุกวันในเวลาเดิม มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่สูงเท่ายาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนผสม เหมาะสำหรับผู้หญิงที่เคยมีผลข้างเคียงจากยาแบบที่ผสมฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือผู้ที่ไม่ควรได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนเนื่องจากปัญหาสุขภาพ
ยาคุมกำเนิดแบบแผง 28 เม็ด และ 21 เม็ด
ฝังเข็ม คุมกำเนิด
ฝังเข็ม คุมกำเนิด หรือ การฝังยาคุมกำเนิด จะใช้โดยวิธีการฝังเข็มเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณต้นแขนด้านใน โดยจะประกอบด้วยฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเทรล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่คล้ายคลึงกับโปรเจสเตอโรน สามารถป้องกันการตกไข่และป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปในมดลูก โดยเปลี่ยนแปลงมูกที่ปากมดลูก
ยาฝังนี้อยู่ได้นาน 3 ปี มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์เกือบ 100% เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของเอสโตรเจนสังเคราะห์ได้ การฝังยานี้
ยาคุมกำเนิดแบบฉีด
ยาคุมกำเนิดแบบฉีดจะออกฤทธิ์ยาว 12 ถึง 14 สัปดาห์ โดยประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสโตเจน ซึ่งจะป้องกันการตกไข่ ป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปในมดลูก
โดยเปลี่ยนแปลงมูกที่ปากมดลูก และเปลี่ยนแปลงพื้นผิวภายในมดลูก ทำให้อยู่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ยาคุมกำเนิดแบบฉีดนี้มีประสิทธิภาพสูง
การทำหมัน
การทำหมัน เป็นวิธีคุมกำเนิดถาวร ที่ทำโดยการผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การทำหมันถาวรทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง
การทำหมันหญิง
การทำหมันหญิง เพื่อไปกั้นท่อนำไข่ ทำให้ไข่ไม่สามารถผ่านลงมาตามท่อนำไข่ และไปปฏิสนธิได้ ซึ่งมีวิธีที่ใช้กันทั่วไป 2 วิธี ได้แก่
- การผูกท่อนำไข่ ทำโดยวางยาสลบและผ่าตัด
- กระบวนการเอสชัวร์ ใช้วัตถุขนาดเล็กที่ทำมาเฉพาะสอดผ่านหลอดสวนเข้าทางมดลูก และอุดปิดที่ท่อนำไข่ ทำโดยฉีดยาชาเฉพาะที่
การทำหมันชาย หรือ การตัดหลอดนำอสุจิ
ทำโดยการตัดท่อนำอสุจิ ทำให้อสุจิไม่สามารถผ่านจากอัณฑะมาสู่องคชาติได้
การคุมกำเนิดฉุกเฉิน
บางครั้งก็มีความจำเป็น ที่จะต้องป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว เช่น ในกรณีที่ลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติ ถุงยางอนามัยแตก หรือกรณีที่ถูกข่มขืน
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นการใช้ฮอร์โมนป้องกันการตั้งครรภ์ โดยไปทำให้การตกไข่ช้าลงในรอบการตกไข่ของเดือนนั้น และอาจช่วยป้องกันไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว ไม่ให้ฝังตัวที่ผนังมดลูกได้ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ร้อยละ 85
การกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ควรกินภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ยิ่งกินเร็วขึ้นเท่าใดก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น และอาจกินได้จนถึง 120 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน แต่ประสิทธิภาพก็จะลดลงด้วยเช่นกัน
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีให้เลือก 3 ชนิด ชนิดที่ใช้กันมากที่สุดเป็นแบบฮอร์โมนโปรเจสโตเจน ซึ่งสามารถสั่งจ่ายโดยแพทย์ หรือไปซื้อยาเองตามร้านขายยาทั่วไป
การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ
การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาตินั้น อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจในเรื่องรอบประจำเดือน โดยมีวิธีตั้งแต่การสังเกตมูกจากปากมดลูกที่เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร่างกาย และระยะเวลารอบประจำเดือนจากการคำนวณ เพื่อช่วยให้พิจารณาได้ว่า ช่วงไหนที่เป็นช่วงตกไข่ และมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูง ในรอบเดือนนั้นๆ